Go to content

ซอสพริกศรีราชาพานิช เผ็ดร้อนได้ประโยชน์สไตล์ต้นตำรับที่คนฟิตหุ่นต้องติดใจ

ซอสพริกศรีราชาพานิช ซอสพริกสูตรต้นตำรับ ที่ส่งผ่านความอร่อยจากรุ่นสู่รุ่น ช่วยเพิ่มรสชาติอาหารให้อร่อยถูกปาก ทำเมนูอาหารได้หลากหลาย ช่วยให้การทำอาหารช่วงฟิตหุ่นมีรสชาติมากขึ้น

ซอสพริกศรีราชาพานิช

อาหารเผ็ดๆ ร้อนๆ อยู่คู่บ้านเราเมืองเรามานานแสนนานแล้ว คนไทยคุ้นเคยกับรสชาติเผ็ดร้อนที่มาจากพืชสมุนไพรอย่างพริกกันเป็นอย่างดี ซึ่งความเผ็ดของพริกนั้นมาจากสารที่ชื่อว่า“แคปไซซิน” (Capsaicin) ซึ่งมีมากบริเวณไส้หรือแกนสีขาวจึงทำให้ส่วนนั้นมีความเผ็ดมากที่สุดโดยพริกจะมีปริมาณความเผ็ดร้อนแตกต่างกันไปตามชนิดของพริก โดยพริกที่เผ็ดที่สุดของไทยคือ พริกขี้หนู รองลงมาคือพริกเหลือง พริกชี้ฟ้า พริกหยวก และพริกหวาน ตามลำดับ

ซึ่งพริกนั้นไม่ได้มีแค่ความเผ็ดเพียงอย่างเดียว แต่ในพริกยังมีประโยชนต่อร่างกายมากมาย ตัว “แคปไซซิน” (Capsaicin) มีส่วนช่วยในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะอาหารได้ ช่วยทำให้ร่างกายตื่นตัว และนอกจากนี้พริกยังมีสรรพคุณอื่นๆ อีก เช่น มีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยชะลอวัย ช่วยกระตุ้นการหลั่ง Endorphin (สารแห่งความสุข) เพิ่มภูมิคุ้มกันมีวิตามินเอและซีสูง ช่วยลดคอเลสเตอรอลไขมันอุดตันในเส้นเลือด และช่วยบำรุงร่างกายได้อีกด้วย

เห็นประโยชน์เยอะแยะขนาดนี้ก็ควรจะทานเผ็ดในปริมาณที่พอเหมาะเพราะหากทานมากเกินไปอาจทำให้เกิดโทษได้เช่นกัน ความเผ็ดร้อนก็เหมือนดาบสองคมทำให้เกิดความระคายเคืองกับทางเดินอาหารได้ หากทานเผ็ดแล้วเกิดอาการแสบร้อน ทานน้ำแล้วไม่หายให้ลองทานนมดู เพราะนมจะเข้าไปช่วยเคลือบผนังของระบบทางเดินอาหารและช่วยลดการระคายเคืองได้

ในบ้านเรานอกจากทานพริกสดๆ แล้วพริกยังถูกนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ มากมายทั้ง น้ำพริก น้ำพริกเผา และหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมเรียกว่ามีติดครัวกันแทบทุกบ้านคือ “ซอสพริก” นั่นเอง หลายคนคงชอบทานซอสพริกคู่กับของทอดหรือไข่เจียวหอมๆ เป็นแน่ และซอสพริกที่แสนจะเข้ากับไข่เจียวสไตล์ไทยๆ ก็ต้องเป็นซอสพริกศรีราชา ด้วยรสชาติที่เข้มข้นเผ็ดเปรี้ยวเค็มและหวานกำลังดี จึงทำให้ซอสพริกศรีราชาโด่งดังเป็นที่รู้จักไม่เพียงแต่ในประเทศไทยเท่านั้น ซอสพริกศรีราชายังได้รับความนิยมและโด่งดังไปทั่วโลกอีกด้วย

ซอสพริกศรีราชาพานิช สูตรต้นตำรับ

ซอสพริกศรีราชา สูตรต้นตำรับต้อง “ศรีราชาพานิช”

ก่อนไปเรื่องอื่นต้องขอเล่าเรื่องประวัติความเป็นมาของซอสพริกศรีราชาพานิชกันหน่อย ที่ได้ยินคุ้นหูเรียกกันติดปากว่าซอสศรีราชามีใครรู้หรือไม่ว่า ซอสพริกศรีราชาคือซอสอะไร ทำมาจากไหน และมีความเป็นมาอย่างไร เรียกว่ามีประวัติอันยาวนานมามากกว่า 80 ปีเลยทีเดียว

ก่อนจะเป็นซอสพริกศรีราชาแต่ดั้งเดิมคือ “น้ำพริก” ฝีมือคุณแม่ถนอม จักกะพาก ที่ได้รับสูตรส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ทำใช้สำหรับจิ้มกับอาหารทะเลไว้ทานเองภายในครัวเรือน ต่อมาได้แจกจ่ายให้กับเพื่อนบ้านละแวกใกล้เคียงได้ลองชิม จนติดอกติดใจในรสชาติ ความเข้มข้น และสนับสนุนให้คุณแม่ถนอมทำออกจำหน่าย เปลี่ยนจากน้ำพริกประจำบ้านมาเป็นซอสพริก บรรจุขวดในชื่อตรา “ศรีราชาพานิช ” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยตั้งชื่อตามสถานที่ผลิตคืออำเภอศรีราชาจังหวัดชลบุรีบ้านเกิดของแม่ถนอมนั่นเอง

จากครัวเรือนสู่การผลิตในระบบอุตสาหกรรมขนาดเล็ก คุณแม่ถนอมจำหน่ายซอสพริกศรีราชาพานิชภายในตลาดตัวอำเภอศรีราชา และด้วยรสชาติความอร่อย ความพิถีพิถันใส่ใจทุกขั้นตอนจึงทำให้ซอสพริกศรีราชาพานิช ค่อยๆ โด่งดังขึ้นและเป็นที่นิยมในที่สุด เรียกได้ว่าในช่วงเวลานั้นใครไปทานอาหารทะเลแถบเมืองศรีราชา เกาะสีชัง เมืองพัทยา และเมืองสัตหีบ แทบทุกร้านต่างต้องมีซอสพริกศรีราชาพานิชขวดนี้เพื่อบริการแก่ลูกค้าของตัวเองทั้งนั้น

ต่อมาในปี พ.ศ. 2527 บริษัท ไทยเทพรส จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ “ภูเขาทอง” ได้ซื้อกิจการซอสพริกศรีราชาในนาม “ศรีราชาพานิช” โดยจัดจำหน่าย และพัฒนาการผลิตในระบบรูปแบบอุตสาหกรรมที่ได้มาตรฐานพร้อมส่งออกไปกว่า 50 ประเทศทั่วโลก และยังคงให้ความสำคัญในทุกขั้นตอนการผลิต รักษาความพิถีพิถันในการเลือกวัตถุดิบ และเคล็ดลับในการทำซอสแบบดั้งเดิมไว้ เพื่อคงรสชาติความเป็นต้นตำรับของซอสพริกศรีราชาพานิช ไว้อย่างเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

รสชาติเข้มข้นจัดจ้านแบบต้นตำรับ

ซอสพริกศรีราชาสูตรต้นตำรับตรา “ศรีราชาพานิช” จะมีความพิถีพิถันตั้งแต่การเลือกวัตถุดิบที่ดีเยี่ยม คัดสรรพริกชี้ฟ้าสด สีแดงที่มีผิวมัน และเนื้อแน่นเสมอกัน (สำหรับสูตรเผ็ดมากจะเติมความเผ็ดด้วยพริกขี้หนูสายพันธุ์จินดา) กระเทียมไทย ที่ต้องผ่านการดองแล้ว 7 วัน พร้อมปรุงรสด้วยน้ำตาลทราย น้ำส้มสายชู และเกลือทะเล จึงทำให้ซอสพริกศรีราชาพานิชมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ได้รส “เผ็ด เปรี้ยว เค็ม หวาน” อย่างกลอมกล่อม ออกรสชาติพร้อมกันในครั้งแรกที่ได้ชิม

ด้วยเหตุนี้นี่เองที่ทำให้ซอสพริกศรีราชาพานิช มีบทบาทสำคัญมากกว่าแค่ซอสสำหรับจิ้มเพิ่มรสชาติ แต่เป็นซอสพริกที่สามารถทำอาหารได้หลากหลายและอยู่คู่ครัวไทยมาจนถึงปัจจุบัน

เปิดขวดชิมซอสพริกศรีราชาพานิช


เล่าย้อนทั้งต้นกำเนิดและสูตรลับไปแล้ว คราวนี้เข้าเรื่องรสชาติของซอสพริกศรีราชาพานิชกันดีกว่า จริงๆ ที่บ้านก็มีซอสพริกยี่ห้อนี้ติดครัวอยู่แล้ว จากที่ได้ลองใช้ลองชิมมาชอบรสชาติของซอสพริกศรีราชาพานิชมากที่สุด ด้วยความเข้มข้นกลมกล่อมสมคำร่ำลือ ไม่หวานมากไม่เปรี้ยวจี้ดได้เนื้อสัมผัสของพริกและกระเทียมจริงๆ เพราะไม่ผสมแป้ง ส่วนตัวชอบใช้สูตรเผ็ดมากเพราะให้ความเผ็ดร้อนจี้ดจ้าดกำลังดี จิ้มกับอะไรก็อร่อย ยิ่งของทอดๆ ยิ่งเข้ากันมากแต่ถ้าใครกลัวอ้วนจิ้มกับของปิ้งๆ ย่างๆ ก็อร่อยไม่แพ้กัน ส่วนใครที่ไม่ชอบทานเผ็ดซอสพริกศรีราชาพานิชก็มีสูตรเผ็ดกลางไว้ให้เลือกใช้กันอีกด้วย

คุณค่าทางอาหารและพลังงานในซอสพริกศรีราชาพานิช

คุณค่าทางอาหารและพลังงานในซอสพริกศรีราชาพานิช

ปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ (17 กรัม) จะให้พลังงานอยู่ที่ 20 kcal

คำนวณเป็น 1 ช้อนชา (6 กรัม) จะให้พลังงานอยู่ที่ 5 kcal

ไขมัน 0%
โปรตีน 0%
คาร์โบไฮเดรต 4 กรัม
น้ำตาล 3 กรัม
โซเดียม 260 มก.
ไม่ใส่สารกันเสีย ไม่เจือสี และ ไม่ใส่ผงชูรส

ซึ่งคนที่ดูแลเรื่องน้ำหนักตัวที่ระวังเรื่องปริมาณน้ำตาล และเกลือ ซอสพริกศรีราชาพานิชตัวนี้สามารถทานได้ เพราะปริมาณเกลือและน้ำตาลไม่สูงมากนัก ไม่มีส่วนประกอบของน้ำเชื่อมข้าวโพด (แบะแซ) ไม่มีการเติมสีสังเคราะห์ ไม่มีสารกันบูด และที่รักเลยคือไม่มีผงชูรส ดังนั้นเวลาที่เปิดใช้แล้วแนะนำให้เก็บไว้ในตู้เย็นจะดีกว่า

มาถึงเวลาโชว์ฝีมือการทำอาหารโดยใช้พระเอกอย่างซอสพริก ศรีราชาพานิชกันแล้วถึงแม้ว่าแค่กินคู่กับไข่เจียวร้อนๆ ก็อร่อยแล้วแต่ก็อยากจะเอาใจคนที่กำลังคุมอาหารซะหน่อยด้วย “เมนูไข่ยัดไส้” เสริมประโยชน์แบบเต็มๆ และเปลี่ยนชื่อใหม่ให้ไฉไลเป็น “ไข่พ็อกเก็ต (แสน) สไปซี่” สำหรับอุปกรณ์เครื่องปรุงก็ไม่มากมาย ทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆ ก็ได้อิ่มอร่อย ทานง่ายถูกใจกันทั้งบ้านแน่นอน

ไข่พ็อกเก็ต (แสน) สไปซี่ กับ ซอสพริกศรีราชาพานิช

ไข่พ็อกเก็ต (แสน) สไปซี่ : เมนูแสบเพื่อหุ่นฟิต

เมนูไข่ยัดไส้เป็นเมนูพื้นๆ ทำได้ง่ายๆ รสชาติถูกใจคนทุกเพศทุกวัยสำหรับสูตรนี้จะเอาใจผู้ใหญ่ที่ชอบรสเผ็ดกันหน่อย ลดความมันและเติมความอร่อยด้วยส่วนผสมที่มีประโยชน์เข้าไป ปรับ look ให้ดูแปลกตา เปลี่ยนชื่อให้เก๋ๆ เป็น “ไข่พ็อกเก็ต (แสน) สไปซี่” ใครจะใช้สูตรนี้ดัดแปลงทำให้คุณลูกทานก็เปลี่ยนเป็นซอสที่เผ็ดน้อยกว่า หรือซอสมะเขือเทศก็ได้

ส่วนผสมและเครื่องปรุง

ส่วนผสมของไข่

  • ไข่ไก่ขนาดกลาง 2 ใบ ให้พลังงาน 110 kcal
  • ซอสปรุงรสฝาเขียว ตรา ภูเขาทอง เล็กน้อย

ส่วนผสมไส้

  • อกไก่สับ 100 กรัม ให้พลังงาน 110 kcal
  • เนื้อกุ้งสับ 80 กรัม ให้พลังงาน 68 kcal
  • แครอทหั่นเต๋าเล็ก 10 กรัม ให้พลังงาน 10 kcal
  • ถั่วลันเตา 20 กรัม ให้พลังงาน 16 kcal
  • มะเขือเทศขนาดเล็ก 1 ผล ให้พลังงาน 16 kcal
  • ข้าวโพดอ่อน 10 กรัม ให้พลังงาน 2.5 kcal
  • หอมใหญ่หั่นเต๋าเล็ก 2 ช้อนโต๊ะ ให้พลังงาน 6 kcal
  • กระเทียมสับ 1 กรีบใหญ่ ให้พลังงาน 5 kcal
  • น้ำตาลหญ้าหวาน 2 ช้อนชา
  • ซอสปรุงรสฝาเขียว ตรา ภูเขาทอง 2 ช้อนชา
  • ซอสพริกศรีราชาพานิช 2 ช้อนโต๊ะ ให้พลังงาน 40 kcal
  • ผงปาปริก้า 2 ช้อนชา ให้พลังงาน 12 kcal (ไม่มีใส่เป็นพริกบ่นละเอียดแทนแต่ลดปริมาณความเผ็ดได้ตามความต้องการ)
  • น้ำมันมะพร้าว 2 ช้อนชา ให้พลังงาน 78 kcal
  • ผักซี (ใช้สำหรับตกแต่ง)
  • ต้อนอ่อนไช้เท้า 20 กรัม ให้พลังงาน 8 kcal

วิธีการทำ

เริ่มด้วยการตัดแต่งเตรียมส่วนผสมต่างๆ นำสันในไก่มาสับ และหั่นผักต่างๆ ออกเป็นลูกเต๋าเล็กๆ จากนั้นมาเริ่มผัดไส้กันก่อน นำกระทะตั้งไฟใส่น้ำมันมะพร้าวลงไป รอให้ร้อน นำกระเทียมสับและหอมใหญ่ คั่วให้สุกใสได้กลิ่นหอม ตามด้วยไก่สับ เมื่อไก่เริ่มสุกใส่กุ้งตามลงไป จากนั้นใส่ผัก แครอท ข้าวโพดอ่อน ถั่วลันเตา และมะเขือเทศ ตามลำดับปรุงรสด้วยซอสพริกศรีราชาพานิช ซอสปรุงรสฝาเขียว ตราภูเขาทอง ผงปาปริก้า น้ำตาลหญ้าหวาน เติมน้ำเล็กน้อย เคี่ยวจนน้ำงวดปิดไฟนำขึ้นพักไว้

จากนั้นมาเตรียมไข่ตาข่ายกัน ตอกไข่ใส่ถ้วยตวงตีให้เข้ากัน เติมซอสปรุงรสฝาเขียว ตราภูเขาทอง เล็กน้อย นำไปกรองเอาเยื่อไข่ขาวออกด้วยกระชอนตาถี่ซักหน่อยเวลา้บีบจะได้ลื่นๆ จากนั้นกรอกลงขวดสำหรับบีบ ตั้งกระทะทาน้ำมันให้ทั่วหรือจะใช้วิธีเช็ดน้ำมันก็ได้แล้วค่อยบีบไข่ใส่ลงไปในกระทะ สานกันให้เป็นตาข่ายตาถี่ๆ รอให้สุกกลับด้าน นำขึ้นพักไว้เตรียมไปทำพ็อกเก็ตกันได้เลย

มาถึงขั้นตอนการห่อ นำไข่ตาข่ายที่ได้วางลงบนจาน รองก้นด้วยใบของผักชีเพื่อป้องกันไม่ให้ไส้ด้านในแตกออก และช่วยให้ห่อได้ง่ายขึ้น ตักไส้พอประมาณ แล้วม้วนๆ หมุนๆ ได้ตามสไตล์ จัดจานเสิร์ฟพร้อมสลัดต้นอ่อนไชเท้าทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆทานแล้วลืมอิ่ม ส่วนใครที่ชอบรสจัดจ้านจะจิ้มทานกับ
ซอสพริกศรีราชาพานิชเพิ่มก็ได้ไม่ว่ากัน พลังงานต่อจาน เสิร์ฟ 2 ห่อจะเท่ากับ 242 kcal

References

  • samunpri.com
  • haamor.com
  • student.chula.ac.th
  • thaihealth.or.th
  • thaitheparos.com/srirajapanich

Latest