Go to content

โยโย่ เอฟเฟค คืออะไร

YOYO Effect เป็นคำเรียกลักษณะการเหวี่ยงขึ้นอย่างรวดเร็วของน้ำหนักตัว คำว่าโยโย่ ถ้าให้เห็นภาพก็เหมือนลูกข่างชนิดนึงซึ่งหมุ่นโดยแกน และเชือก เวลาเราเล่นโยโย่ เราจะต้องจับลูกโยโย่โยนลงพื้น โดยถ้าหากเราส่งแรงน้ำหนักทิ้งลงไปมาก ลูกโยโย่ก็จะดีดกลับขึ้นมาเร็วและแรง เราจึงเรียกการเหวี่ยงตัวขึ้นของน้ำหนักตัวหลังจากทำการลดน้ำหนักอย่างผิดวิธีว่า โยโย่ เอฟเฟค

yoyo- effect

YOYO Effect เป็นคำเรียกลักษณะการเหวี่ยงขึ้นอย่างรวดเร็วของน้ำหนักตัว คำว่าโยโย่ ถ้าให้เห็นภาพก็เหมือนลูกข่างชนิดนึงซึ่งหมุ่นโดยแกน และเชือก เวลาเราเล่นโยโย่ เราจะต้องจับลูกโยโย่โยนลงพื้น โดยถ้าหากเราส่งแรงน้ำหนักทิ้งลงไปมาก ลูกโยโย่ก็จะดีดกลับขึ้นมาเร็วและแรง เราจึงเรียกการเหวี่ยงตัวขึ้นของน้ำหนักตัวหลังจากทำการลดน้ำหนักอย่างผิดวิธีว่า โยโย่ เอฟเฟค

อะไรคือ โยโย่ เอฟเฟค  เพราะหลายครั้งที่เจอกับคำถามที่ใคร ๆ ก็ชอบคิดว่า ไอ้การที่จะเกิดโยโย่เนี่ย ต้องเกิดจากการที่เราทานยาลดความอ้วนเท่านั้น การเกิด  โยโย่เอฟเฟค นั้นสามารถเกิดจากการที่เราพยายามควบคุมอาหาร เปลี่ยนชนิดอาหารได้ด้วย นะคะ ไม่ได้เกิดจากการทานยาลดความอ้วนได้เพียงอย่างเดียว

อันที่จริงแล้วมันคือภาวะการขาดความสมดุลของร่างกายนั่นเอง ร่างกายของคนเรามีความสลับ ซับซ้อนมากกว่า คอมพิวเตอร์เครื่องนึงซะอีก ระบบการทำงานสามารถสั่งได้ ด้วยกิจวัตรประจำวัน สมดุลเคมี ฮอร์โมนจาก ต่อมไร้ท่อ ระบบประสาทส่วนกลาง และอื่นๆอีกมากมาย ร่างกายคนเราอาศัยความเคย ชินกับปริมาณอาหารและปริมาณแคลลอรี่ ที่ได้รับในแต่ละวัน รวมทั้งกิจกรรมที่เกิดขึ้นกับตัวเราเองในแต่ละวัน กำหนดขนาดการเมตาบอลิ ซึ่ม (การเผาผลาญพลังงานนั่นเอง)

ซึ่งจะต้องทำงานควบคุมกับการผลิต ฮอร์โมนบางตัวจากต่อมไร้ท่ออย่าง ไทรอยด์ฮอร์โมน เพื่อควบคุมการเผาผลาญพลังงาน ความสมดุลของการกิน การใช้พลังงานและ ระดับไทรอยด์ฮอร์โมนในคนปกติจะแตกต่างจากผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษ (มี 2 แบบนะคะ คือทำงานมากไปกับน้อยไป ถ้ามากไปจะกระตุ้นให้เมตาบอลิซึ่มมากเกินไป จะผอม ใจสั่น เหนื่อยง่าย ถ้าน้อยไปจะอ้วนง่าย เฉื่อยชา หนาวง่าย เพราะเมตาบอลิซึ่มน้อยเกินไป)

การลดน้ำหนักโดยการลดปริมาณอาหารที่ ทาน หรือเปลี่ยนชนิดอาหาร เพื่อควบคุมแคลลอรี่ที่ได้รับให้แต่ละวัน เป็นวิธีที่นิยมและน่าจะไม่เป็นอันตราย อย่างสูตร สามวันเจ็ดวันที่เห็นๆกันอยู่ มันก็เป็นวิธีที่ดีและถูกต้อง เช่น ปกติเราใช้พลังงานวันละ 800 – 1,200 kcal ถ้าเราทานอาหารวันละ 400 kcal เราก็จะสามารถดึงเราของเก่าที่สะสมใน ร่างกายเราออกมาใช้ได้วันละ 400 – 600 kcal

แต่.. เมื่อเราลดปริมาณอาหารลงอย่างรวดเร็วอย่างนี้ติดต่อกันสัก 3 วัน ร่างกาย จะรับรู้ไปว่า ชั้น…กำลังจะอดตาย ช่วยด้วย…. จะลดการเผาผลาญ พลังงานลง จากวันละ 800-1200 kcal เป็น 400-600 kcal เพื่อกักเก็บไอ้ ที่เราสะสมไว้ให้มากที่สุด แหม…ก็กำลังจะอดตายนี่นา แล้วน้ำหนักก็จะลดลงในระยะแรกเร็วมาก แต่พอซักระยะ มันก็ไม่ลงซักขีด ก็จะท้อพอดีกว่า กลับมากินอย่างเดิม อาหารแบบเดิม ยัดเข้าไปวันละ 1,200 kcal

แต่… ร่างกายที่กำลังจะอดตายของเรากลับยังเผาผลาญวันละ 400 kcal เท่านั้นเอง หมายความว่าเราเหลือวันละ 800 kcal ที่เปลี่ยนเป็นไขมันไปกักเก็บตามส่วนต่างๆ เหมือนเดิม จากที่ลดไป 9 กิโล ก็สามารถกลับมาเพิ่มอีก 15 กิโลได้อย่างง่ายดาย

ดังนั้น วิธีการลดน้ำหนักที่ได้ผลในระยะยาวคือการควบคุมอาหารอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับออกกำลังกายค่ะ เพื่อคงระดับการเมตาบอลิซึ่มให้พอดี กับอาหารที่ทาน และกิจกรรมที่ทำ

อย่าง สูตรต่าง ๆ 3 วันบ้าง 7 วันบ้าง 15 วันบ้าง เนี่ย…. ไม่ใช่ไม่ดีนะ คะ ทำได้ค่ะ แถมลดเร็วด้วยเป็นกำลังใจให้คนลดความอ้วน อย่างมากเลยค่ะ แต่หลังจากสูตรนั้นแล้วก็ขอให้ยังคงควบคุมปริมาณ อาหารอย่างต่อเนื่องค่ะ เพื่อให้ร่างกายชินกับปริมาณอาหารที่ได้รับ จนไม่เกิดอาการคิดว่าจะอด ตายแล้ว จึงค่อย ๆ ปรับมากินเท่าคนปกติค่ะ

แต่จะให้ดีนี่ต้องเปลี่ยน อุปนิสัยในการกินเลยค่ะ เพราะถ้าลดได้ 10 กิโล แต่ยังกลับมาทานขาหมู พิซซ่าขอบชีส จังก์ฟู๊ดต่างๆ มันก็ไม่มีประโยชน์ค่ะ อีกอย่างที่ห้าม ลืม…คือ ระดับการเมตาบอลิซึ่มเนี่ย ยิ่งอายุมากก็จะยิ่งน้อยลงนะ สรุปว่ายิ่งเรามีอายุเพิ่มขึ้น เราก็ยิ่งต้องหาทางเพิ่มกระบวนการนี้เพื่อให้เกิดความสมดุลในร่างกายนะคะ

 

Credit: red-kimono.com

Latest